วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

ใครคิดค้นเครื่องดูดฝุ่น

 www.thailittleroom.com


คงจะกล่าวได้ว่า  เครื่องดูดฝุ่น เป็นกลไลที่ใช้ Air Pump เพื่อลำเลียง  และดูดสิ่งสกปรกหรือเศษฝุ่นต่างๆที่อยู่ตามพื้น


ในครั้งแรกที่มีการทดลองหาวิธี ให้เครื่องจักรทำความสะอาดบนพื้นนั้น  เริ่มต้นในประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1599  ก่อนที่จะมีเครื่องดูดฝุ่นนั้น  มีวิธีการทำความสะอาดพรมโดย  การแขวนมันไว้บนกำแพง  หรือ วางเรียงเป็นแถว แล้วใช้เครื่องตีพรม  ตีซ้ำไปซ้ำมา เพื่อเอาสิ่งสกปรกออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


ในวันที่ 8 ของปี 1869  นักประดิษฐ์ ชาวชิคาโก้ Ives McGaffey ได้จดสิทธิบัตร  เครื่องจักรกลดูดฝุ่นนับว่าเป็นการจดสิทธิบัตรครั้งแรก  สำหรับเครื่องจักรกลดูดฝุ่น  หรือ อุปกรณ์ดูดฝุ่น   แต่นั่นยังไม่ใช่เครื่องจักรกลที่สามารถดูดฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์นัก 


Ives McGaffey เรียกเครื่องจักรดูดฝุ่นของเขาว่า  เครื่องจักรกลไม้และผ้าใบ  ซึ่งยังไม่มีความซับซ้อนมากนัก ทุกวันนี้รู้จักกันใน ชื่อ The first hand-pumped vacumm cleaner ในสหรัฐอเมริกา


ในปี 1899 John Thurman  ได้ประดิษฐ์เครื่องดูดฝุ่น ที่ใช้พลังงานน้ำมัน  นักประวัติศาสตร์บางราย มองว่า มันคือ เครื่องจักรกลดูดฝุ่น ตัวแรก ที่ใช้มอเตอร์เป็นเครื่องยนต์ทำงาน ถูกจดสิทธิบัตร เมื่อ 3 ตุลาคม 1899 


ไม่นานหลังจากนั้น  ในปี  1903 เขาก็เริ่มให้บริการทำความสะอาดด้วยเครื่องดูดฝุ่น ถึงหน้าประตูบ้าน ใน St Louis   การให้บริการเครื่องดูดฝุ่นของเขา  มีราคาถึงครั้งละ $4 


หนุ่มวิศวะอังกฤษ Hubert  Cecil Booth ได้จดสิทธิบัตร  เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดใน วันที่ 30 สิงหาคม 1901 เมื่อเขาได้แสดงชุดอุปกรณ์เครื่องดูดฝุ่น ในร้านอาหาร ในปีเดียวกันนี่  และ นั่น แสดงให้เห็นว่า อุปกรณ์ดูดฝุ่นของเขา ดูดสิ่งสกปรกได้ดีเพียงไร


นักประดิษฐ์ชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง  ได้นำเสนอ  รูปแบบต่างๆ  หลังจากที่มีการประดิษฐ์  เครื่องดูดฝุ่น เกิดขึ้น นับตั้งแต่ครั้งแรก  เช่น  Corinne Dufour ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สามารถดูดฝุ่น และดูดซับน้ำได้  


แน่นอนว่า นั่นเป็นเพียงเวอร์ชั่นแรกๆของเครื่องดูดฝุ่น  หรือคุณอาจเรียกว่า อุปกรณ์ดูดฝุ่น ที่ยังเทอะทะ  เสียงดัง  และยังส่งกลิ่นรบกวนอยู่บ้าง ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักในการทำการค้า


ในปี  1907 Jame Spangler  ผู้ดูแลอาคาร ในห้างสรรพสินค้าที่ โอไฮโอ (Ohio) แห่งหนึ่ง จากการปัดกวาดพรม ที่เขาทำอยู่เป็นประจำทุกวันนั้น  ทำให้เขาเป็นโรคไอเรื้อรัง   จึงทำให้ Spangler  คิดหาวิธี ด้วยการเอามอเตอร์พัดลมเก่าๆ  มาติดกับกล่องสบู่ แล้วเย็บติดกับด้ามไม้กวาด   และปลอกหมอน เพื่อเป็นตัวเก็บฝุ่น  



Spangler จึงหาทางประดิษฐ์   เครื่องดูดฝุ่นแบบอิเล็กทรอนิกส์  ที่เคลื่อนที่ได้ง่าย  และสามารถพกพาได้ง่าย  เขาจึงพิสูจน์ และตั้งโมเดลเบื้องต้น ของเขาขึ้นมา  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ใช้ถุงเก็บฝุ่น  และอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้าด้วยกัน  เขาได้รับสิทธิบัตรในปี  1908  นั่นเอง

By Thamon

ที่มา https://www.thoughtco.com/invention-and-history-of-vacuum-cleaners-1992594

วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

หายใจดัง วี๊ซ (WHEEZ)

www.thailittleroom.com

คุณคงเคยเจอฝุ่นละอองซึ่งลอยตามอากาศ   โดยทั่วไปแล้ว ที่คุณมองเห็นได้ เช่น เศษผงดิน ผงทราย ระบบหายใจของร่างกายนั้นจะสามารถดักจับและป้องกัน  ซึ่งจมูกจะเป็นป้อมปราการแรก    ที่เป็นการดักจับฝุ่น   ประกอบด้วยโครงสร้างรูปสามเหลี่ยมของกระดูกและกระดูกอ่อน 

ผิวด้านนอกปกคลุมด้วยผิวหนัง ส่วนผิวด้าน  ในบุด้วยเยื่อเมือก (Mucous membrane) มีช่องเปิดของช่องจมูกอยู่ 2 ช่อง แยกจากกันโดยผนังกั้น (Septum) ภายในเยื่อเมือกจะมีต่อมน้ำมันทำหน้าที่เป็นด่านป้องกัน   ฝุ่นละอองไม่ให้ลงไปสู่ปอด

แต่ถ้าฝุ่นละอองที่คุณไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งมีขนาดเล็กมาก จากการสูดหายใจเอาอากาศที่มีเชื้อปนอยู่ในละอองฝอยขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริเวณที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น ห้องเรียน โรงภาพยนตร์ สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์ผู้อพยพ โรงแรม หอพัก กองทหาร เรือนจำ

ร่างกายก็ไม่สามารถดักไว้ได้  ก็จะเข้าสู่ระบบหายใจ และเข้าฝังอยู่ในปอด  และระบบทางเดินหายใจ  ทำให้เยื่อบุหลอดลมบวม มีเสมหะในหลอดลม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก หอบเหนื่อย  แน่นหน้าอก อาจหายใจมีเสียงดัง วี๊ซ ได้ 

หรือคุณอาจมีอาการเจ็บคอ  แสบคอ หรือเจ็บหน้าอกได้  ผู้ป่วยอาจมีไข้  รู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัวได้ ซึ่งควรวินิจฉัยแยกโรคจากโรคปอดบวม (pneumonia) ซึ่งทำให้คุณมีไข้  ไอ และหอบเหนื่อย

หากเข้าสู่ภาวะ หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง คือมีอาการไอมีเสมหะมากกว่า 3 เดือน/ ปี เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี] นี้ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น  เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้แก่ Streptococcus pneumoniae, Hemophilus influenzae, Moraxella catarrhalis ซึ่งอาจทำให้เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเขียว

ดังนั้น คุณต้อง อย่าชะล่าใจ  เมื่อเสียงหายใจของท่านดัง วี๊ซ  และมีอาการดังกล่าว  ควร รีบพบแพทย์  และรักษาให้ถูกวิธี โดยการหลีกเลี่ยงหลีกเลี่ยง ควัน, กลิ่นฉุน, ควันบุหรี่, สารเคมี, ฝุ่นสารระคายเคืองต่างๆ


เพราะหากรักษาผิดวิธี  การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (pneumonia)ได้ หรือจากหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน อาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือโรคถุงลมโป่งพองได้

หากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานที่  ที่มีความเสี่ยง เหล่านี้  เช่น ในที่ทำงาน  ในโรงงาน หรืออะไรก็แล้วแต่  คุณควรหาอะไรมาป้องกัน อีกชั้นหนึ่ง เป็นการช่วงร่างกายคุณเอง  คุณอาจใช้ แผ่นกรองฝุ่น  กรองอากาศ  ฟองน้ำกรองฝุ่น    ผ้าปิดจมูก มาช่วงกรองอีกขั้นหนึ่งก่อน  และทำความสะอาดที่ ให้ปราศจากฝุ่นละอองด้วยเช่นกัน  


By Thamon
อ้างอิงจาก
http://news.thaipbs.or.th/content/145018
http://www.pidst.or.th/A288.html



วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

10 สิ่งที่แม่บ้านต้องมี!


ปกติแล้วแม่บ้านอย่างเรา ก็ต้องดูแลความสะอาด  ต้องพบกัยสารเคมี และฝุ่นละออง เป็นธรรมดา  แล้วมีอะไรบ้างนะที่แม่บ้านจะขาดไม่ได้เลย  10 สิ่งที่แม่บ้านจะต้องมีอย่าให้ขาด  เพื่อที่จะดูแลทั้งบ้าน และดูแลตัวเองได้ด้วย

1.ไม้ถูพื้น หรือไม้ Mop 
เมื่อก่อนคงจะไม่พ้นผ้าขี้ริ้วมาถูกกับพื้นใช่ไม๊ค่ะ  แต่สมัยนี้ไม้ถูพื้น ทำให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น และมีความสะอาดเอี่ยมมากขึ้น แต่ไม้ถูพื้นมีหลากหลายรูปแบบมากเลย  ไม้ถูพื้นมีทั้งชนิดแห้ง และ ชนิดเปียก

ชนิดแห้งมักทำด้วยเส้นด้าย  เหมาะสำหรับถูพื้นไม้ขัดมัน หรือ ปาเกต์ ค่ะ   ส่วนชนิดเปียกจะทำด้วยผ้าหนาๆ หรือผ้ากระสอบ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทำด้วยฟองน้ำค่ะ   แต่ไม้ถูพื้นบางทีก็เข้าไม่ถึงซอกมุม คงต้องใช้ผ้าขี้ริ้วช่วยอีกแรงหนึ่งค่ะ

2.น้ำยาถูพื้น
น้ำยาถูพื้นบ้าน เป็นของคู่กับไม้ถูพื้นเลยละ ทำให้พื้นบ้านของคุณสะอาด ขจัดคราบสกปรก และแถมมีกลิ่นหอม มีหลากหลายยี่ห้อ หาได้ง่ายๆตามท้องตลาด และซุปเปอร์มาร์เก็ต เลือกซื้อได้ตามความพึงพอใจของแม่บ้านอย่างเราได้เลย

3.ผ้าเช็ดทำความสะอาด
ผ้าเช็ดทำความสะอาดขจัดฝุ่น ที่เกาะ เขรอะ ตามสิ่งของเครื่องใช้ในบ้านของเรา ควรแยกผ้าเช็ดเปียกและผ้าเช็ดแห้งไว้นะคะ  ผ้าเช็ดเปียก สำหรับ เช็ดฝุ่น ทีเกาะฝังอยู่   แล้วตามด้วยผ้าเช็ดแห้งอีกทีหนึ่ง  เพื่อความสะอาดหมดจดค่ะ

4.น้ำยาเอนกประสงค์สำหรับเช็ดส่วนต่างๆ
คุณแม่บ้านควรจะเก็บน้ำยาเอนกประสงค์  เพื่อ ทำความสะอาดกระจก  คราบมันต่างๆ บนเตาแก็ส หรือในครัว ที่เกิดจากการทำอาหารไว้นะคะ จะทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งค่ะ

5.ไม้กวาด หรือเครื่องดูดฝุ่น 
ไม้กวาด ทำจากดอกหญ้าอย่างอ่อน สามารถกวาดเศษเล็กเศษน้อยไปได้อย่างสบายๆ แต่ในบางครั้งไม้กวาด  ไม่สามารถกวาดฝุ่น หรือเศษผงไปได้หมด  เครื่องดูดฝุ่นจึงมีบทบาทมาก ทีเดียวที่จะช่วย คุณแม่บ้านทำความสะอาดง่ายขึ้นและไม่ต้องเปลืองแรง  ด้วยแรงดูดของเครื่องดูดฝุ่นเอง

6.ถังน้ำ
ถังน้ำ  หรือถังใส่ มีบทบาทมากที่จะช่วยให้คุณแม่บ้านหายปวดหัว  ถังผสมน้ำยา ถังใส่น้ำยาถูพื้น  ถังใส่ไม้แปรงขัดพื้นขัดส้วม  ทำให้การทำงานของแม่บ้านเป็นระบบระเบียบมากขึ้นนั่นเองค่ะ

7.แปรงขัดห้องน้ำ
แปรงขัดในห้องน้ำ แบ่งออกเป็นขัดพื้น  ขัดส้วม  และแปรงที่จัดตามซอกเล็กๆ  เพราะ หากนำมาใช้ร่วมกัน  การทำให้เกิดแหล่งรวมเชื้อโรคได้มากขึ้นค่ะ

8.น้ำยาล้างห้องน้ำ และรองเท้า
น้ำยาล้างห้องน้ำ มีฤทธิ์กัดกร่อน ขจัดคราบดำๆที่อยู่ตามซอกพื้น ได้อย่างหมดจด  มีกลื่นของสารเคมี  หลายๆยี่ห้อ พยายามที่จะลดกลิ่นนี้และ ทำให้หอมขึ้น  แต่อย่างไรก็ตาม แม่บ้านอย่างเราก็ต้องระมัดระวัง อย่าให้เข้าตาและสัมผัสโดยผิวหนังนะคะ   ดังนั้นสวมรองเท้าด้วยนะคะ

9. ถุงมือยาง
ถุงมือยาง  ช่วยปกป้องไม่ให้มือของเราสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง  เพื่อป้องกัน ไม่ให้ผิวชั้นนอกหลุดลอกออกไป  และมือแห้งขาดความชุ่มชื่นได้ค่ะ

10.ผ้าปิดจมูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ป็นภูมิแพ้ แนะนำอย่างที่สุดค่ะ  เพราะ  ฝุ่นละออง จะไปกระตุ้นให้เกิดภมิแพ้ ขึ้นมาได้   อีกทั้งผ้าปิดจมูกยังสามารถ ป้องกันกลิ่นของสารเคมีด้ววยนะคะ

ดูแลบ้าน  ดูแลตัวเองด้วยนะคะ  ดูอุปกรณ์ทำความสะอาดราคาถูกได้ที่นี่


By Thamon

วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561

ฝุ่นเล็ก เรื่องใหญ่

ตัวไรฝุ่นขนาดเล็ก เป็นสาเหตุสำคัญที่จะเกิดพาหะ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ที่จะสร้างความรำคาญให้คนรอบข้าง และ ตัวคุณเองนอกจากทำสร้างความรำคาญ ยังมีผลทำให้ก่อให้เกิด สารก่อโรคภูมิแพ้ต่อตัวคุณเอง และ คนรอบข้าง

นอกจากนี้โรคภูมิแพ้ เป็นสาเหตุที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด โรคฝุ่นหินจับปอด (ซิลิโคสิส) โรคบิสสิโนสิส (โรคปอดฝุ่นฝ้าย) โรคปอดแร่ใยหิน (แอสเบสโตสิส) โรคหอบหืด

ตัวไรมีขนาด และ ชนิดที่หลากหลาย ขนาดที่ใหญ่กว่า 10 ไมครอน เรียก ตัวไรฝุ่นใหญ่ และ ขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เรียก ตัวไรฝุ่นเล็ก ขนาดที่เล็กกว่า 10 ไมครอน จะเข้าไปสู่ปอดและทางเดินหายใจได้ง่าย และก่อนให้เกิดปัญหาต่างๆ

ฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายล่องลอยในอากาศ มีทั้งของแข็งและของเหลว หลากหลายขนาด ตั้งแต่ฝุ่นที่มีขนาดไม่เกิน 100 ไมครอน ที่ไม่นานก็จะตกลงสู่พื้น และฝุ่นที่มีขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน จนถึงไม่เกิน2.5 ไมครอน 

ฝุ่นละเอียดขนาดเล็กมากๆที่มีขนาดไม่เกิน 0.1 ไมครอน จะเป็นอันตรายต่อระบบภูมิคุ้มกัน 
***ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการละเลยการทำความสะอาด***

โดยทั่วไปฝุ่นที่มีขนาดใหญ่จะตกลงสู่พื้น ส่วนฝุ่นที่ขนาดไม่เกิน 10 ไมครอนจะสามารถแขวนลอยอยู่ในอากาศได้ตลอด ทำให้ฝุ่นเหล่านี้มีโอกาศเข้าสู่ปอดได้หากไม่มีแผ่นกรองต่างๆ

ฝุ่นละอองที่มีทั้งจากธรรมชาติ เช่น ละอองเกลือ ฝุ่นทราย ปลิวเนื่องจากลมเป่า เขม่าควันจากไฟฟ้า ละอองเกลือจากน้ำทะเล และฝุ่นที่มาจากการกระทำของมนุษย์ เช่น เขม่าจากรถยนต์ท่อไอเสียรถยนต์ ฝุ่นจากปล่องระบายควันจากเตาเผาต่างๆ

ฝุ่นหยาบจะตกลงสู่พื้นหรือถูกกรองโดยขนจมูกและตกอยู่บริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น ฝุ่นละเอียดจะตกลงไปสู่หลอดลมใหญ่ หลอดลมฝอย และ ลงลึกไปถึงถุงลมปอด ถ้าสูดลมหายใจเข้าไปจำนวนมากจะส่งผลต่อ สุขภาพโดยตรง

กลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับอัตรายจากฝุ่นละอองเข้าสู่ปอดได้แก่ ผู้ป่วยโรคปอด โรคหัวใจ ผู้สูงอายุ และ เด็กถุงเก็บฝุ่น ช่วยดักฝุ่น และ อนุภาคเล็กๆในอากาศไม่ให้เข้าสู่ปอด ทำอันตรายต่อปอดของเรา ด้วยวัสดุสังเคราะห์พิเศษ

อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักจัดการคุณภาพอากาสและเสียง,กรมควบคุมมลพิษ,คู่มือการตรวจวัดฝุ่นละอองในบรรยากาส,กระทรวงทรัพย์กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 1.ทำให้ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างทำงานผิดปกติ เช่น เจ็บคอ หายใจติดขัด หายใจมีเสียงดัง

 2.ทำให้จมูกมี อาการไอ จาม น้ำมูกไหลอาจทำให้เกิดการอักเสบของไซนัส มีไข้ จนถึงไอมีเสมหะ

 3.ทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ ที่ใครๆก็ไม่อยากเป็น อันเกิดจากที่ตัวไรฝุ่นมากมายในบ้าน